วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธุรกิจหาคู่

เดี่ยวนี้ก็ต้องยอมรับว่ามีธุรกิจแปลกๆเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะงานหาคู่สำหรับคนที่อยากมีสามีฝรั่งมีเยอะที่เดี่ยวครับสำหรับสาวไทยที่อยากมีสามีเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็อยากจะเตือนสาวไทยว่า ชาวต่างชาตินั้นไม่ใช้ว่าจะดีหรือว่ารวยไปซะทุกคนบางคนก็จนบางคนก็โรคจิตเป็นประเภทเซ็กซาดิษฐ์ ก็มีเยอะแยะไปจริงแล้วการที่เราจะใช้ชีวิตคู่นั้นสิ่งที่มาก่อนเหตุผลอย่างอื่นนั้นก็คือความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกันส่วนเรืองเงินหรือฐานะนั้นต้องมาที่หลังแต่สาวไทยเดี่ยวนี้ กับเลือกที่จะมีชีวิตคู่กับคนรวยหรือเป็นคนต่างชาติไปเลยเพราะจะได้สบายโดยตัวเองลืมคิด ไปเลยว่าคนทีไมได้รักนั้นแต่งงานไปแม้จะมีเงินทองมากมายก่ายกองจะทำให้มีความสุขหรือเปล่ามีสาวไทยหลายคนที่แต่งงานกับฝรั่งไปก็ไม่ได้มีความสุขหรือสมหวังเหมือนกับดั่งตัวเองวาดฝันไว้ บางคนก็ต้องเลิกรากันไปโดยที่ไม่ได้อะไรเลย แถมยังมีแต่คนนินทาอีก โดยเฉพาะสาวๆทางภาคอีสานนั้นฮิตเหลือเกิน ที่เขียนข้อความแบบนี้ก็เพราะอยากจะเตือนไว้ว่ามันไม่ได้มีความสุขอย่างที่เราวาดหวังเอาไว้หรือจะได้เชิดหน้าชูคอเป็นคุณนายไปซะทุกคน เพราะการที่เราจะได้ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขที่สุดนั้น มันคือความเข้าใจกัน ส่วนเรืองเงินนั้นเป็นเรื่องที่จะตามเรามาในภายหลังเท่านั้นครับสุดท้ายนี้ถ้าสาวไทยที่อยากมี สามีฝรั่งก็ขอให้ได้สมหวังดั่งที่หวังทุกคนแต่จงอย่าลืมว่า ความรักเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งความสุข

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตันภาค1ก้าวแรกของความสำเร็จ

เริ่มต้นทำงานจากพนักงานของ
สู่นักธุรกิจหัว “เซ็งลี้”
ด้วยนิสัยที่ตัวเองเป็นคนชอบท้าทาย วิธีคิดของเขามักจะต่าง และแปลกแยกกับผู้คนทั่วไปอยู่แล้วเมื่อบวก กับสัญชาตญาณความเป็นนักขาย ตันจึงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่หลายๆ คนมองไม่เห็น ซึ่งคนจีนมักเรียกคนอย่างนี้ว่า “หัวเซ็งลี้” ทำให้เขาก้าวเข้าสู่การทำธุรกิจล้ำหน้าก่อนใครๆ เสมอ
ลำดับต่อมาตันจึงเริ่มต้นทำงาน โดยเป็นลูกจ้างเขาในที่ใหม่คือ บริษัท ราชธานีเมโทร ซึ่งขายฟิล์มสีซากุระ โดยการเริ่มต้นเป็นพนักงานแบกของมีรายได้การทำงานเพียงแค่ 700 บาทต่อเดือน อาจเป็นเพราะเขารูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย เรียนไม่เก่ง และเป็นว่าไม่มีอะไรที่สามารถสู้เพื่อนๆ ในวัยนั้นได้
ตันจึงคิดใหม่ โดยการผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าขายแผงหนังสือที่ชลบุรี ระยะแรกได้เริ่มต้นซื้อห้องแถวขยายกิจการจนเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดย่อมๆ เมื่อยุคฟองสบู่แตกในปี 2540 ตันต้องล้มครืนและแถมมีหนี้สินติดตัวกว่า 100 ล้านบาท เวลาผ่านไป 5 ปีหลังจากนั้น เขากลับมาผงาด เป็นเจ้าของประธานกลุ่มโออิชิ กรุ๊ปที่กำลัง ได้เข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านไป คือในปี2545 นับไปสองไตรมาสแรก ทำกำไรไปได้ 80 ล้านบาท
ตันยังได้ทำธุรกิจสตูดิโอจัดงานวิวาห์ครบวงจร ที่เขาเป็นคนเริ่มต้นในย่านทำเลทอง ซอยทองหล่อ จนมีสาขาครบ 20 แห่งในปัจจุบัน ซึ่งมีรายได้เฉลี่ย 2-3ล้านบาทต่อสาขา ขณะที่ธุรกิจภัตตาคารและบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นจาก 70 สาขาในปี 46 ได้ขยายสาขาเป็น 80 แห่งอย่างรวดเร็ว
ย้อนหลังไป 10 ปีก่อน ธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงานยังเป็นธุรกิจใหม่ที่คนไทยไม่คุ้นเคย คุณตันเป็นผู้แนะนำธุรกิจใหม่เอี่ยมนี้ในซอยทองหล่อ เขาเดินทางไปปีนัง กัวลาลัมเปอร์ และสิงคโปร์ เพื่อศึกษาข้อมูลรายละเอียดลออ
บริษัท ที.วาย. แมรี่เอจ สตูดิโอ ก็คลอดออกมาอย่างลวดเร็ว ในเดือนสิงหาคม 2537
คุณตันแตกบริษัทใหม่อย่างต่อเนือง ด้วยเหตุผลการสร้างตลาด เพราะในพื้นที่ทำเลเดียวกัน การมีธุรกิจถ่ายภาพแต่งงานหลายร้าน ลูกค้าจะรู้สึกคิกคักขึ้น เขายังเปิดทางให้พนักงานได้เติบโตเป็นเถ้าแก่ โดยร้านใหม่ที่แตกตัวออกไป จะให้สิทธิพนักงานเป็นคนบริหารถือหุ้นด้วย เพื่อสร้างแรงจูงใจ พนักงานยิ่งลงแรงทำมาก ยิ่งได้กลับคืนมา
แนวคิดที่คุณตันนำมาใช้อีกอย่าง คือการผูกธุรกิจเป็นเครือข่าย เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือกันและกัน เช่น บริษัทหนึ่งมีปัญหา อีกบริษัทก็สามารถส่งคนไปช่วยได้ ทั้งยังเป็นการช่วยลดต้นทุนแชร์ค่าโฆษณาและจัดงานใหญ่ๆได้ ธุรกิจแห่งความรักจึงถูกปลูกเต็มถนน ทองหล่อ เพียงแค่ 5 ปี สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงานของเขาก็ขยายตัวแตกหน่อจนบูมที่สุด ในเวลานั้น


วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเศร้าก่อนวันแม่



บทความนี้ผมได้มาจากกระทู้ของเว็บhttp://www.mocyc.com/store/view.php?idclassified=182221 อยากให้ทุกคนได้อ่านครับว่าสมควร แล้วเหรอที่คนที่มีอาชีพหมอพูดแบบนี้กัน

(รบกวนใช้กระทู้นี้นะครับ เพราะคาดว่าพี่ๆน่าจะrvให้คำปรึกษาได้)ปรึกษาเรื่องสำคัญมากสักเรื่องครับอาจเป็นเพราะฐานะที่ไม่ได้มั่งมี เลยต้องใช้บริการโรงพยาบาลรัฐบาลแม่ผมมีอาการเจ็บข้อมือมาก เนื่องจากทำงานหนักมาตั่งแต่เด็กปัจจุบันเป็นกระเป๋ารถเมลอยู่รถเมลสายนึงในจังหวัดนนทบุรีเลยเลือก"โรงพยาบาลพระนั้งเกล้า"เพราะเห็นว่าใกล้บ้านไปมาสะดวกไปครั้งแรกได้ยาแก้ปวดกับยามานวด และวันนี้ก็ไปตามที่หมอนัดเค้าบอกว่าจะได้ตรวจกับหมอเฉพาะทางหมอชื่อ"นายแพทย์ ดิเรก ดีสิริ" รอคิวอยู่จนใกล้เทื่ยง ไม่รู้ด้วยความที่หมอหิว หรืออารมณ์ไหนก็ตามแต่ถามอะไรก็ทำเป็นไม่ได้ยิน จนถามไปถามมาคงรำคาญเลยไล่เราออกมายาก็ให้ตัวเดิมให้ยานวดเหมือนเดิม ถึงความรู้ผมจะน้อยแต่ก็พอทราบว่าแม่ตัวเองเป็นอะไร คาดว่าน่าจะเกิดผังผืดขึ่นที่เอนข้อมือจากการที่ใช้งานหนักมานานจากคำกล่าวที่มาพบแพทย์ครั้งแรก วันนี้มาเพียงต้องการคำตอบว่าต้องผ่าตัดรึเปล่า หรือจะทำการรักษาอย่างไรต่อไป กับได้คำตอบว่าไม่มีทางหาย ก็กินยาไปแล้วก็นวดซะก็เท่านั้นเอง ผมก็งงว่านี่แพทย์เฉพาะทางรึเปล่าไมพูดจาส่งๆแบบนี้ ถามว่าสรุปแม่ผมเป็นอะไรก็บอกให้กินยาแล้วก็นวดๆไปโรคนี้มันไม่หายหรอก ผมถึงกับอึ่ง ใจนึงก็โกรธ ใจนึงก็สงสารแม่ แล้วเราจะทำไงก็หมอคนแรกบอกผ่าตัดก็หายแต่ "นายแพทย์ ดิเรก ดีสิริ" เป็นแพทเฉพาะทางกับพูดแบบนี้ แม่ผมถึงกับร้องไห้ ไม่พอยังโดนไล่ออกจากห้องอีก ผมกับแม่ไม่เคยรู้สึกแย่อะไรขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เค้าแสดงออกถึงความรำคาญอย่างเห็นได้ชัด ผมกับแม่ไม่ได้จนมากมายอะไรขนาดนั้น วันนี้เราสองคนแม่ลูกเสียความรู้สีกมาก ในฐานะลูกคนนึงอยากช่วยแม่มากๆทำไม "นายแพทย์ ดิเรก ดีสิริ" ถึงทำให้เเม่ผมเสียใจได้ขนาดนี้ผมตันไปหมด เก็บควารู้สึกไว้ทั้งวันอยากขอคำปรึกษาจากพี่ๆ ทุกคนว่าผมจะทำอย่างไงต่อไปแล้ว "นายแพทย์ ดิเรก ดีสิริ" คนนี้เค้าเป็นใครทำไมเค้ามาประจำอยู่ที่ "โรงพยาบาล พระนั้งเกล้า" ถ้าแม่ผมไม่เจ็บขนาดนี้ท่านคงไม่ยอมขาดงานแน่ๆ ผมจะทำไงดี...............รบกวน ปรึกษาพี่ๆด้วยครับ จากลูกของแม่คนนึง.................. ถ้าคุณได้อ่านบทความนี้แล้ว ถ้าเป็นแม่ของเราบ้าง จะทำยังไง