วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธุรกิจหาคู่

เดี่ยวนี้ก็ต้องยอมรับว่ามีธุรกิจแปลกๆเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะงานหาคู่สำหรับคนที่อยากมีสามีฝรั่งมีเยอะที่เดี่ยวครับสำหรับสาวไทยที่อยากมีสามีเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็อยากจะเตือนสาวไทยว่า ชาวต่างชาตินั้นไม่ใช้ว่าจะดีหรือว่ารวยไปซะทุกคนบางคนก็จนบางคนก็โรคจิตเป็นประเภทเซ็กซาดิษฐ์ ก็มีเยอะแยะไปจริงแล้วการที่เราจะใช้ชีวิตคู่นั้นสิ่งที่มาก่อนเหตุผลอย่างอื่นนั้นก็คือความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกันส่วนเรืองเงินหรือฐานะนั้นต้องมาที่หลังแต่สาวไทยเดี่ยวนี้ กับเลือกที่จะมีชีวิตคู่กับคนรวยหรือเป็นคนต่างชาติไปเลยเพราะจะได้สบายโดยตัวเองลืมคิด ไปเลยว่าคนทีไมได้รักนั้นแต่งงานไปแม้จะมีเงินทองมากมายก่ายกองจะทำให้มีความสุขหรือเปล่ามีสาวไทยหลายคนที่แต่งงานกับฝรั่งไปก็ไม่ได้มีความสุขหรือสมหวังเหมือนกับดั่งตัวเองวาดฝันไว้ บางคนก็ต้องเลิกรากันไปโดยที่ไม่ได้อะไรเลย แถมยังมีแต่คนนินทาอีก โดยเฉพาะสาวๆทางภาคอีสานนั้นฮิตเหลือเกิน ที่เขียนข้อความแบบนี้ก็เพราะอยากจะเตือนไว้ว่ามันไม่ได้มีความสุขอย่างที่เราวาดหวังเอาไว้หรือจะได้เชิดหน้าชูคอเป็นคุณนายไปซะทุกคน เพราะการที่เราจะได้ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขที่สุดนั้น มันคือความเข้าใจกัน ส่วนเรืองเงินนั้นเป็นเรื่องที่จะตามเรามาในภายหลังเท่านั้นครับสุดท้ายนี้ถ้าสาวไทยที่อยากมี สามีฝรั่งก็ขอให้ได้สมหวังดั่งที่หวังทุกคนแต่จงอย่าลืมว่า ความรักเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งความสุข

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตันภาค1ก้าวแรกของความสำเร็จ

เริ่มต้นทำงานจากพนักงานของ
สู่นักธุรกิจหัว “เซ็งลี้”
ด้วยนิสัยที่ตัวเองเป็นคนชอบท้าทาย วิธีคิดของเขามักจะต่าง และแปลกแยกกับผู้คนทั่วไปอยู่แล้วเมื่อบวก กับสัญชาตญาณความเป็นนักขาย ตันจึงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่หลายๆ คนมองไม่เห็น ซึ่งคนจีนมักเรียกคนอย่างนี้ว่า “หัวเซ็งลี้” ทำให้เขาก้าวเข้าสู่การทำธุรกิจล้ำหน้าก่อนใครๆ เสมอ
ลำดับต่อมาตันจึงเริ่มต้นทำงาน โดยเป็นลูกจ้างเขาในที่ใหม่คือ บริษัท ราชธานีเมโทร ซึ่งขายฟิล์มสีซากุระ โดยการเริ่มต้นเป็นพนักงานแบกของมีรายได้การทำงานเพียงแค่ 700 บาทต่อเดือน อาจเป็นเพราะเขารูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย เรียนไม่เก่ง และเป็นว่าไม่มีอะไรที่สามารถสู้เพื่อนๆ ในวัยนั้นได้
ตันจึงคิดใหม่ โดยการผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าขายแผงหนังสือที่ชลบุรี ระยะแรกได้เริ่มต้นซื้อห้องแถวขยายกิจการจนเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดย่อมๆ เมื่อยุคฟองสบู่แตกในปี 2540 ตันต้องล้มครืนและแถมมีหนี้สินติดตัวกว่า 100 ล้านบาท เวลาผ่านไป 5 ปีหลังจากนั้น เขากลับมาผงาด เป็นเจ้าของประธานกลุ่มโออิชิ กรุ๊ปที่กำลัง ได้เข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านไป คือในปี2545 นับไปสองไตรมาสแรก ทำกำไรไปได้ 80 ล้านบาท
ตันยังได้ทำธุรกิจสตูดิโอจัดงานวิวาห์ครบวงจร ที่เขาเป็นคนเริ่มต้นในย่านทำเลทอง ซอยทองหล่อ จนมีสาขาครบ 20 แห่งในปัจจุบัน ซึ่งมีรายได้เฉลี่ย 2-3ล้านบาทต่อสาขา ขณะที่ธุรกิจภัตตาคารและบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นจาก 70 สาขาในปี 46 ได้ขยายสาขาเป็น 80 แห่งอย่างรวดเร็ว
ย้อนหลังไป 10 ปีก่อน ธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงานยังเป็นธุรกิจใหม่ที่คนไทยไม่คุ้นเคย คุณตันเป็นผู้แนะนำธุรกิจใหม่เอี่ยมนี้ในซอยทองหล่อ เขาเดินทางไปปีนัง กัวลาลัมเปอร์ และสิงคโปร์ เพื่อศึกษาข้อมูลรายละเอียดลออ
บริษัท ที.วาย. แมรี่เอจ สตูดิโอ ก็คลอดออกมาอย่างลวดเร็ว ในเดือนสิงหาคม 2537
คุณตันแตกบริษัทใหม่อย่างต่อเนือง ด้วยเหตุผลการสร้างตลาด เพราะในพื้นที่ทำเลเดียวกัน การมีธุรกิจถ่ายภาพแต่งงานหลายร้าน ลูกค้าจะรู้สึกคิกคักขึ้น เขายังเปิดทางให้พนักงานได้เติบโตเป็นเถ้าแก่ โดยร้านใหม่ที่แตกตัวออกไป จะให้สิทธิพนักงานเป็นคนบริหารถือหุ้นด้วย เพื่อสร้างแรงจูงใจ พนักงานยิ่งลงแรงทำมาก ยิ่งได้กลับคืนมา
แนวคิดที่คุณตันนำมาใช้อีกอย่าง คือการผูกธุรกิจเป็นเครือข่าย เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือกันและกัน เช่น บริษัทหนึ่งมีปัญหา อีกบริษัทก็สามารถส่งคนไปช่วยได้ ทั้งยังเป็นการช่วยลดต้นทุนแชร์ค่าโฆษณาและจัดงานใหญ่ๆได้ ธุรกิจแห่งความรักจึงถูกปลูกเต็มถนน ทองหล่อ เพียงแค่ 5 ปี สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงานของเขาก็ขยายตัวแตกหน่อจนบูมที่สุด ในเวลานั้น


วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเศร้าก่อนวันแม่



บทความนี้ผมได้มาจากกระทู้ของเว็บhttp://www.mocyc.com/store/view.php?idclassified=182221 อยากให้ทุกคนได้อ่านครับว่าสมควร แล้วเหรอที่คนที่มีอาชีพหมอพูดแบบนี้กัน

(รบกวนใช้กระทู้นี้นะครับ เพราะคาดว่าพี่ๆน่าจะrvให้คำปรึกษาได้)ปรึกษาเรื่องสำคัญมากสักเรื่องครับอาจเป็นเพราะฐานะที่ไม่ได้มั่งมี เลยต้องใช้บริการโรงพยาบาลรัฐบาลแม่ผมมีอาการเจ็บข้อมือมาก เนื่องจากทำงานหนักมาตั่งแต่เด็กปัจจุบันเป็นกระเป๋ารถเมลอยู่รถเมลสายนึงในจังหวัดนนทบุรีเลยเลือก"โรงพยาบาลพระนั้งเกล้า"เพราะเห็นว่าใกล้บ้านไปมาสะดวกไปครั้งแรกได้ยาแก้ปวดกับยามานวด และวันนี้ก็ไปตามที่หมอนัดเค้าบอกว่าจะได้ตรวจกับหมอเฉพาะทางหมอชื่อ"นายแพทย์ ดิเรก ดีสิริ" รอคิวอยู่จนใกล้เทื่ยง ไม่รู้ด้วยความที่หมอหิว หรืออารมณ์ไหนก็ตามแต่ถามอะไรก็ทำเป็นไม่ได้ยิน จนถามไปถามมาคงรำคาญเลยไล่เราออกมายาก็ให้ตัวเดิมให้ยานวดเหมือนเดิม ถึงความรู้ผมจะน้อยแต่ก็พอทราบว่าแม่ตัวเองเป็นอะไร คาดว่าน่าจะเกิดผังผืดขึ่นที่เอนข้อมือจากการที่ใช้งานหนักมานานจากคำกล่าวที่มาพบแพทย์ครั้งแรก วันนี้มาเพียงต้องการคำตอบว่าต้องผ่าตัดรึเปล่า หรือจะทำการรักษาอย่างไรต่อไป กับได้คำตอบว่าไม่มีทางหาย ก็กินยาไปแล้วก็นวดซะก็เท่านั้นเอง ผมก็งงว่านี่แพทย์เฉพาะทางรึเปล่าไมพูดจาส่งๆแบบนี้ ถามว่าสรุปแม่ผมเป็นอะไรก็บอกให้กินยาแล้วก็นวดๆไปโรคนี้มันไม่หายหรอก ผมถึงกับอึ่ง ใจนึงก็โกรธ ใจนึงก็สงสารแม่ แล้วเราจะทำไงก็หมอคนแรกบอกผ่าตัดก็หายแต่ "นายแพทย์ ดิเรก ดีสิริ" เป็นแพทเฉพาะทางกับพูดแบบนี้ แม่ผมถึงกับร้องไห้ ไม่พอยังโดนไล่ออกจากห้องอีก ผมกับแม่ไม่เคยรู้สึกแย่อะไรขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เค้าแสดงออกถึงความรำคาญอย่างเห็นได้ชัด ผมกับแม่ไม่ได้จนมากมายอะไรขนาดนั้น วันนี้เราสองคนแม่ลูกเสียความรู้สีกมาก ในฐานะลูกคนนึงอยากช่วยแม่มากๆทำไม "นายแพทย์ ดิเรก ดีสิริ" ถึงทำให้เเม่ผมเสียใจได้ขนาดนี้ผมตันไปหมด เก็บควารู้สึกไว้ทั้งวันอยากขอคำปรึกษาจากพี่ๆ ทุกคนว่าผมจะทำอย่างไงต่อไปแล้ว "นายแพทย์ ดิเรก ดีสิริ" คนนี้เค้าเป็นใครทำไมเค้ามาประจำอยู่ที่ "โรงพยาบาล พระนั้งเกล้า" ถ้าแม่ผมไม่เจ็บขนาดนี้ท่านคงไม่ยอมขาดงานแน่ๆ ผมจะทำไงดี...............รบกวน ปรึกษาพี่ๆด้วยครับ จากลูกของแม่คนนึง.................. ถ้าคุณได้อ่านบทความนี้แล้ว ถ้าเป็นแม่ของเราบ้าง จะทำยังไง

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตัน โออิชิ ชื่อนี้ ไม่มีตัน












  • จากคนแบกของ ผงาดขึ้นเป็นเศรษฐีพันล้าน สูตรลับของโออิชิ










คุณรู้จักคนที่ไม่เคยตัน อย่าง ตัน ภาสกรนทีไหมคนส่วนใหญ่รู้จักเขาในนามของตัน โออิชิ ใครจะไปคิดละครับว่าจากคนแบกของ ได้เงินเดือนแค่เดือนละ 700บาท เรียนจบแค่ม.ศ.3จะผันตัวเองกลายเป็นนักธุรกิจในระดับแนวหน้าของเมืองไทยถ้าเทียบกับนักธุรกิจที่เรียนสูงๆจบจากเมืองนอกเมืองนายังเป็นได้แค่ลูกจ้างในบริษัทใหญ่ๆในเมืองไทยแต่ชายที่รูปร่างเตี้ย อ้วน ไม่หล่อชาติตระกูลไม่สูงส่งเหมือนใครแต่สิ่งที่เค้าสร้างได้แสดงถึงความเป็นนักธุรกิจโดยสัญชาติญาณไม่ต้องไปร่ำเรียนที่ใหนก็ประสบความสำเร็จได้เค้าได้สร้างแบร์นของตัวเองสร้างสินค้าให้เข้าไปอยู่ในใจของคนไทยทุกคนไม่มีใครไม่รู้จักชาเขียวโออิชิที่สร้างปรากฏกาณ์ใหม่ในวงการธุรกิจเครืองดื่ม สร้างชื่อขึ้นไปเทียบกับเป๊ปซี่ของบริษัท เสริมสุข คนไทยส่วนใหญ่รู้จักเครืองดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์นั้นคงต้องยกให้เป๊ปซี่ โค้กแต่ตอนนี้ต้องบวก สินค้าสัญชาติไทยแต่ใช่ชื่อญี่ปุ่นว่า "โออิชิ" ต้องบอกว่าชื่อนี้มีแต่ของอร่อยจริงๆ เพราะถ้าแปลตรงตัวโออิชิก็แปลว่าอร่อยอยู่แล้ว สิ่งที่เค้าได้ทำนั้นเขย่าวงการของธุรกิจ อย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง เค้าได้เริ่มจากการเป็นลูกจ้างธรรมดา บางคนอาจจะคิดว่าเค้าคงมีโชคถึงได้ฟลุคทำชาเขียวออกมาแล้วดังระเบิดเลย ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ก่อนที่ตัน จะมาเป็นตันโออิชิได้เหมือนทุกวันนี้เค้าผ่านมาหลายอย่าง แล้วแต่ที่ดังคือการทำชาเขียวก็เท่านั้นเองครับที่สำคัญเค้าไม่ได้มีโชค อย่างที่ทุกคนคิด ครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวย ชาติตระกูลก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร















  • จากคำพูดของ ตันภาสกรนที ที่ลงในหนังสือ คัมภีร์เจ้าสั่วของค่าย Animate Group โดยอาจารย์ถนอมศักดิ์ จิรายุสวัสดิ์ ทีเขียนไว้ว่า "ผมเกิดมาโชคร้าย หล่อก็ไม่หล่อแถมจนสักวันผมต้องเป็นเจ้าของกิจการให้ได้ และจากคำพูดนี้เองนำไปสู่ภาคปฐมบทของความสำเร็จของชายนามว่า ตัน ภาสกรนที หรือ ตันโออิชิ แต่กว่าจะเป็นตันโออิชิเค้าได้ผ่านอะไรบ้าง?







ชายชื่อตันหลังจากที่ทำงานเป็นคนแบกของ ของบริษัทแห่งหนึ่งก็เห็นว่าตัวเองหน้าจะมีทางขยับขยายบ้าง โดยหลังจากเค้าลาออกและได้ขอยืมเงินจากผู้เป็นพ่อมาห้าหมื่น ก็ตัดสินใจผันตัวเองมาเป็นเจ้าของร้านแผงหนังสือโดยการลงทุนเปิดแผงหนังสือนั้น คุณตันได้ให้เหตุผลว่าที่ตัวเขาเริ่มจากจุดนี้เพราะใช้เงินลงทุนที่น้อยที่สุดหลังจากนั้นเขาก็เริ่มเก็บหอมรอมริบ โดยใช้คติแบบดั้งเดิมไม่ได้มีกลยุทธ์อะไรเลย นั้นก็คือขยัน ประหยัดซื่อสัตว์และอดทน บวกกับความคิดที่ไม่เหมือนใคร ก้าวสู่การเป็นนักธุรกิจหัว "เซ้งลี้"หลังจากเก็บเงินได้สักพักเขาก็ได้ตัดสินใจซื้อตึกแถวเป็นของตัวเองเปิดร้านหนังสือขึ้น ก่อนจะเริ่มขยับขยายมาทำร้านขายกาแฟและร้านเบอร์การี่โดยใช้หลักความคิดแบบใหม่ๆด้วยการใช้เครืองคิดเงินมาใช้ บวก กับยังนำเอาสินค้ามาติดป้ายราคา ติดแอร์ในร้านของตัวเองเป็นกลุ่มแรกๆในเมืองชล นี้คือการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าแบบง่ายๆแต่จะมีสักกี่คนที่คิด เหมือนกับ ชายคนนี้ มีใครบ้างละที่จะกล้าขายกาแฟแก้วละ 15บาท ในขณะที่ตอนนั้นโอเลี้ยงแก้วหนึ่งแค่3บาทเองด้วยรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร ได้สร้างจุดขายในแบบ ตัน ขึ้น โดยที่ลูกค้าสามารถเดินเลือกเบเกอรี่ได้แบบสบายๆในร้านที่ติดแอร์เย็นๆ แถมยังมีป้ายราคาที่ติดไว้กันต่อรองราคา ใครที่อยากจะเดินหรือยืนชมหนังสือในแบบที่เย็นๆสบายๆไม่ต้องไปยืนร้อนนี้คือกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใครในยุคนั้นแบบสุดยอดของชายที่ชื่อตันคนนี้ และได้ปูทางสู่ธุรกิจในรูปแบบใหม่ที่นำเขาไปสู่ความสำเร็จแต่กว่าจะสำเร็จได้นั้นเขาได้ผ่านได้เจอ อะไรมาบ้างใครละที่จะรู้ คุณอาจจะคิดว่ามันดูง่ายๆเรียบๆแต่ก็เพราะความเรียบๆนั้นเองที่เขาต้องใช้ความอดทน สู้กับกาลเวลาที่จะเก็บหอมรอมริบกว่าจะได้แต่ละบาท เขาต้องใช้ความอดทนขนาดใหนมันไม่ได้ง่าย เหมือนกับการเขียนเรืองราวของเขา กว่าจะสำเร็จได้ เขาต้องบริหารจัดการเงินอย่างไรจนมีทุกวันนี้ได้ ก็คำง่ายๆขยัน อดทนและประหยัด คำง่ายๆแต่ทำยากนี้แหละได้นำเขาสู่ความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้















  • นี้คือภาคปฐมบทก่อนจะมีวันนี้ของเขาอาจจะดูเรียบง่ายไร้อุปสรรคแต่ชายคนนี้ก็เคยล้มมาแล้วเคยเป็นหนี้มาแล้วนับ100ล้านแล้วเขายังหวนกลับมาได้อย่างไร ทุกคนจะได้ติดตามในบทความต่อไปของพ่อค้าหัว "เซ้งลี้"นามว่า ตัน ภาสกรนที







วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความก้าวหน้าของธุรกิจ บนอินเตอร์เน็ต

สำหรับวันนี้ อยาก จะนำเสนอ เกี่ยวกับธุรกิจ บนโลกออนไลน์ที่กำลังก้าวหน้า อย่างฉุดไม่อยู่จริงๆครับ ในส่วนตัวของผมแล้ว คงต้องบอกว่า ยังขาดประสบการณ์เกี่ยวกับธุรกิจแบบนี้จริงๆครับ โดยเฉพาะ การทำธุรกิจ กับ ทางgoogle ผมเองก็เพิ่งจะเริ่มทำได้ไม่นานมานี้ครับ ค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อนที่เดี่ยว กฏเกณฑ์ก็ ค่อนข้าง เยอะ โดยจากการ เปิดเผยของหนังสือ รวยด้วยคลิก กับ Google AdSense ว่าเหตุผลที่กฏเกณ์เยอะนั้นเกิดจากคนไทย นั้นหัวเส ไปทำการคลิกโฆษณาของตัวเองเพื่อให้เกิดรายได้ และยังมีอีกหลากหลายวิธี ที่คนไทยใช้ จนทาง google เกือบจะแบนคนไทยทั้งประเทศครับ

ก็ออกไปถึงเรืองGoogleซะเยอะจริงแล้ววันนี้ที่ผมอยากจะเสนอคือความก้าวหน้าของธุรกิจออนไลน์สำหรับเว็บที่ผมอยากจะนำเสนอที่นี้เลยครับ http://www.thaiseconhand.com/ ที่ทางเว็บได้เปิดตลาดด้วยการรวมสินค้าทุกประเภทให้อยู่บนโลกของอินเตอร์เน็ตต้องบอกว่าจากสิถิติคนเยี่ยมชมนั้นสูงมากและก็แสดงถึงความนิยมใช้โลกออนไลน์ในการโฆษณาโดยไม่ต้องโฆษณาผ่านทางทีวีที่ราคาโฆษณานั้นแพงกว่าราคา สิ้นคา10ชิ้นรวมกันซะอีก
หลายบริษัทที่ เปิดตัวใหม่ต่างพากันใช้ วิธีโฆษณาบนโลกออนไลน์โดยเท่าที่เห็นคือบริษัทจะให้พนักงาน นั้นเข้าไปถามตอบบนบอร์ดของเว็บต่างๆยิ่งถาม-ตอบ กันเยอะเท่าไรชื่อสินค้าของทางบริษัทนั้นก็จะขึ้นบนหน้าค้นหาของGoogleมากเท่านั้นผมขอยกตัวอย่างบริษัทริชเทคอิเล็กทริค-เมคานิคอล(ประเทศไทย)จำกัด ที่เป็นบริษัทนำเข้าผลิตภัณฑ์เครืองเติมลมยางเอนกประสงค์โดยอยู่ภายใต้ของแบร์นโปรดักส์จาก ทางแคนาดาจนเป็นที่รู้จักส่วนหนึงของคนที่รักรถนี้ก็เป็นแผนการอันชาญฉลาดของฝ่ายการตลาดที่คิด เเผนอันแยบยลในการโปรโมทสินค้าของตัวเองแบบไม่ต้องเสียตังค์เพราะการทำแบบนี้เป็นการสร้างความหน้าเชื้อถือให้กับสินค้าโดยทางGooglegและทางเจ้าของเว็บไซติ์นั้นกลายเป็นผู้การันตีสินค้าไปโดยอัตโนมัติครับและก็ยังมีอีกหลายบริษัทที่ใช้วิธีนี้ในการโฆษณาสินค้าของตัวเอง ให้เป็นที่รู้จักจากคนนับล้าน และ อีกหลายๆล้านบนโลกของอินเตอร์เน็ตที่ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดการพัฒนา


























วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นักเขียน

สวัสดีครับ ทุกท่านต้องนับว่าบทความนี้เป็นบทความที่ 3แล้วนะครับ ก็ต้องยอมรับนะครับว่า บทความก่อนหน้านี้ของผมยังคงไร้วีแววว่าจะมีใครมาติดตามเพิ่มเลยนะครับ ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเรายังอาจจับจุดไม่ถูก ก็เป็นได้ครับ แต่ผมก็ยังไม่ท้อครับและยังจะเขียนต่อไปเรื่อยๆๆครับ จนกว่าจะมีใครสักคนสนใจ และ
เหมื่อน เป็นการฝึกการพิมพ์ คอมพิวเตอร์ไปใหนตัวด้วยครับ แล้วก็ได้เขียนความคิดของตัวเองออก ไปสู่โลกของ IT ครับ

สำหรับในวันนี้คงต้องขอพูดเรื่อง ของเส้นทางนักเขียนครับคงต้องบอกว่ามันค่อนข้างยากที่เดี่ยว ที่ในยุคนี้จะมีคนที่ยึดอาชีพนักเขียนเป็นอาชีพจริงๆครับ ก็เพราะว่ากว่าจะได้เป็นนักเขียน ก็ต้องสร้างเรื่อง สร้างสไตล์ของตัวเองขึ้นมา แล้วก็ส่งไปที่สำนักพิมพ์ ต้องบอกว่ายากที่เดี่ยวครับ เพราะกว่าที่เราจะรู้ผลว่าเรื่องของเรา นั้นผ่านหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่ารอร่วม3เดื่อนครับกว่าจะรู้ผล แถมบ้างครั้งผ่าน หรือว่าไม่ผ่าน ทางสำนักพิมพ์บ้างสำนักก็ไม่แจ้งเราด้วยครับ เจ้าของผลงานก็ต้องรอแบบว่าเก้อต่อไปครับ ถ้าหากว่าเรื่องของเราผ่านนะครับ เขาก็จะมาตกลงเรื่องค่าต้นฉบับกับเราว่าจะเป็นแบบใหน ก็ต้องบอกว่าเรานั้นไม่มีสิทธ์เลือกหรอกครับ เพราะเขาเหมื่อนกับจับเรามัดมือชกนั้นแหละครับ ก็ต้องบอกว่าโอกาศที่เรื่องของเราความฝันของเราที่คิดแทบตายเขาให้เรา ก็ต้องบอกว่าแค่นิดเดี่ยวเท่านั้นครับ โดยอาจจะให้เรา เป็น%ครับ โดยให้ที่ 15% หรือ20%ของยอดขาย และสิ่งที่นักเขียนรุ่นใหม่สงสัยคือแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ายอดขายของเราตอนนี้นั้นเท่าไรแล้ว นั้นแหละคือสิ่งที่นักเขียนรุ่นใหม่อย่างเราต้องคิดและตามสำนักพิมพ์ให้ทันครับ นี้คืออีกหนึ่งอุปสรรค สำคัญของนักเขียนทุกคนครับ

อีกข้อหนึ่งคือเขาจะจ่ายให้เราเลยที่เดี่ยวโดยขอซื่อต้นฉบับของเราเลย อันนี้ต้องบอกว่าเป็นการตัดปัญหา เรื่องของ%ออกไปเลยครับโดยไม่ต้องไปรอว่าหนังสือของเราจะขายได้หรือไม แต่ว่าความฝันของนักเขียนทุกคนนั้นเรื่องของเงินเป็นเพียงเรื่องรองลงมาครับ ไม่ใช้ว่าเงินนั้นไม่สำคัญอะไรนะครับ เพียงแต่ว่า
เราอยากจะเห็นคนอ่านหนังสือของเราเท่านั้นครับ และก็รู้จักชื่อที่เป็นนามปากกาของเรา แน่นอนครับว่าเพียงแค่นี้เหล่า นักเขียนทั้งหลายก็มีความสุขแล้ว
ที่ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดและใฝ่ฝันมาตลอดครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่ายุคสมัยนี้เรื่องของธุรกิจ นั้นมาก่อนครับเพราะว่าปากท้องก็เป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆๆ

และอีกวิธีสำหรับนักเขียนที่มีเงินและฝันอยากที่จะเป็นนักเขียนครับ ก็คือต้องไปจ้างสำนักพิมพ์ ให้พิมพ์เรื่องของเราครับต้องบอกว่าวิธีนี้ ใช้ทุนค่อนข้างสูงครับ เพราะว่าสำนักพิมพ์เขาจะรับพิมพ์ได้นั้นเขาดูที่จำนวนหน้าทั้งหมด ที่สั่งพิมพ์และจำนวนเล่มครับ ยิ่งเยอะก็ต้องบอกว่ายิ่งถูกครับ พอเส็รจแล้วที่นี้ทำไงละครับ ก็ต้องไปฝากขาย โดยต้องมีส่วนลดให้กับทางร้าน อาจจะเป็น30%หรือ40%ครับ ก็ต้องยอมรับว่าค่อนข้างสูงที่เดี่ยวสำหรับ%ที่เราต้องแบ่งให้กับ ทางร้านหนังสือครับ แถมกว่าเราจะได้ เก็บยอดนั้นก็ต้องบอกว่ารวม3-4เดือนครับ โดยเราต้องคอยตามครับว่าหนังสือเราขายได้เท่าไรแล้ว และกว่าเราจะเรียกเก็บ ยอดของเราได้นั้นก็ต้องทำหนังสือไปขอเก็บยอดกับทางร้านครับ แล้วก็ต้องรอจนกว่ายอดจะอนุมัติครับ ก็เท่าที่รู้ก็7 เดือนน่าจะได้ครับ โดยไม่รวมยอดใหม่ของเราครับ
ก็คงต้องยอมรับว่าเส้นทางของนักเขียนนั้นมันยากครับ ต้องฝ่าฟันมากมาย ต้องหนีพวกปากเหยี่วปากกา
ที่จ้องจะเอาเปรียบทางความคิดของเราครับนักเขียนก็ เหมือนนักร้องนั้นแหละครับ ถุกขโมยความคิด โดยผู้ที่หวังประโยชน์ โดยไม่ต้องจ่ายค่าต้นฉบับ ทั้งที่ค่าต้นฉบับของเรานั้น ถูกซะยิ่งกว่าค่าสั่งตีพิมพ์ซะอีกครับ

แต่แน่นอนไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆครับ ไม่ว่าจะวงการใหนก็ตามครับเหมือนกันหมด เพียงแต่วงการนักเขียนนี้มันจะยากกว่าหน่อย แต่เรื่องแค่นี้คงไม่มีนักเขียนผู้ใด คิดที่จะถอดใจหรอกนะครับ ของยังงี้มันอยู่ที่ฝีมือ จังหวะ บวกดวงนิดหน่อย สักวันต้องเป็นของเราแน่นอนครับ ไม่ว่าเมื่อไรเราก็อย่าหยุดเขียนครับ
เหมือนกับ อาจารย์โมริคาว่า โจจิครับ ท่านเขียนการ์ตูน เรื่อง ก้าวแรกสู่สังเวียน ท่านบอกว่าจงเขียนต่อไปอย่าหยุดที่จะเขียน อย่าหยุดที่จะฝัน จริงแล้วความฝันนั้น ไม่เคยทอดทิ้งเรา ครับแต่เป็นเราเองที่ทอดทิ้งตัวเอง ทอดทิ้งความฝันตัวเอง แล้วก็โทษฟ้าดิน ทั้งที่ตัวเรายังมีมือ มีสมอง เราอาจไม่มีโอกาศเหมือนคนอื่นแต่เราสร้าง โอกาศให้กับตัวเองได้ครับ แม้ว่ามันจะยากแต่ถ้าเราไม่หยุด ที่จะคิด
ไม่ยอมกับความโชคร้าย ไม่ยอมแพ้ที่เกิดมา เพราะงั้นเราจงสู้ครับ ผมจะคอยอยู่เคียงข้างนักฝันและเป็นกำลังใจให้เหล่านักเขียน ผู้ไม่ทิ้งตัวเอง และความฝัน

http://dek-d.com/board/view.php?id=527784

http://www.bynatureonline.com/forums/viewforum.php?f=6

http://www.sakulthai.com/webboard/Questionv.asp?GID=3591

http://www.jamsai.com/writing_test/writerhelp.asp

นี้ก็เป็นเว็บลิงค์ ข้อมูลต่างๆของสำนักพิมพ์ คนที่อยากเป็นนักเขียน
ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ไม่ยอมแพ้ต่อความฝัน จงลุกขึ้นบอกกับตัวเองเถิดว่า พร้อมที่เริ่มผลิตฝันแล้ว หรือยัง

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผู้ปราบเขมร

สวัดีครับทุกท่าน จากที่ผมได้เขียนบทความพูดถึงตำรวจไทยในบทที่แล้วก็มีคนติดตามมาหนึ่งคนครับ ก็เข้าใจอยู่ว่าเรายังมือใหม่อยู่ครับ แต่ผมก็ยังไม่ถอดใจครับจะยังเขียนต่อไปจนกว่า จะมีคนติดตามเยอะครับ แล้วผมก็ขอบคุณสำหรับคนที่ติดตามแล้วแนะนำผมครับ ผมจะจำไว้เป็นบทเรียนครับ





จากที่ผมได้อ่านบทความของเว็บ http://www.aanthe.com/ เขาพูดถึงเรื่องของที่คุณเขมรเขียนบทความด่าคนไทยแล้วก็kingของเราครับมันน่าแค้นใจจริงๆๆ ครับเขาพระวิหารมันก็ได้ไปแล้วพวกมันจะเอาอะไรอีกก็ไม่รู้คิดแล้วเศร้าครับ พวกคุณเขมรหลังเขาไร้การพัฒนาเนี้ยเขาอ้างเอาประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยขอมเรื่องอำนาจมาว่าแผ่นดินไทยเคยเป็นของเขาทำแผนที่กันซะอย่างดีด้วยนะ ผมเลยไปค้นคว้าในหนังสือวิชา สปช แล้วก็หนังสือประวัติศาสตร์ต่างๆครับ เอามาเผยแผ่เป็นความรู้ของคนไทยแล้วก็ ได้แก้ ข้อครหาของพวกคุณเขมรไร้การศึกษาครับ





ผมขอเล่าถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ครับ โดยยุคก่อนประวัติศาสตร์เราถือว่าเป็นยุคที่สยามเรายังไม่มีอักษรเป็นของเราเองครับ โดยยุคประวัติศาสตร์เริ่มต้นคือยุคของ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ครับ ได้คิดค้นอักษรไทยขึ้นครับ โดยเป็นของคนไทยเองครับนี้ก็คือความน่าภาคภูมิใจของคนไทยเราครับขอพักเรื่องของอักษรไทยไว้ก่อนนะครับ ขอเล่าประวัติศาสตร์พอคราวๆ ที่กล่าวถึงยุคขอมโบราณหรือยุคก่อนประวัติศาสตร์ของไทย ให้พวกเขมรได้ตาสว่างกันซะทีครับว่า ในตอนนั้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่เท่าไรผมก็ไม่ทราบเหมือนกันจำไม่ได้ครับ แต่ยุคนั้นถือว่าขอมเรืองอำนาจมาก ถึงขั้นว่า ในแดนสุวรรณภูมินั้นอณาจักรขอม นั้นรุ่งเรืองอย่างสุดขีด อณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล จนเมื่อบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ถือกำเนิดขึ้น นั้นคือสิ่งที่โหร ของพระเจ้าชัยวรมันทำนายไว้ว่าบุรุษผู้นี้จะเป็นผู้เปลียนแปลงประวัติศาสตร์อันรุ่งเรื่องของขอม เหมือนกับ "พ่อขุนนัวนำเถา" (เป็นผู้สถาปนาแคว้นสุโขทัยและศรีชนาลัยในประมาณ พศ 1710ถึง 1720 ข้อมูลอ้างอิง โดยวิกิพิเดีย สารานุกรม) เคยทำไว้และจะนำอันตรายมาซึ่งราชวงศ์ของพระเจ้าชัยวรมันเอง บุรุษผู้นั้นได้ถือกำเนิดขึ้นและเติมใหญ่ ทางฝั่งตะวันตกของอณาจักรขอมและรอที่จะท้าทายอำนาจของพระเจ้าชัยวรมัน โดยในตอนนั้นทางฝั่งภาคกลาง ของไทยและภาคอีสานรวมถึงภาคเหนื่อตนล่างบางส่วนของไทย นั้นตกเป็นเมืองขึ้นของขอม โดยมีพระยาเดโชปกครองอยู่และชาวไทยบางส่วนที่เข้ากับพวกขอม จนเกิดเหตุการที่เปลียนประวัติศาสตร์และสั้นคลอนอณาจักรขอมอย่างแรง เมื่ออณาจักรละโว้ ถึงเวลาที่ต้องส่งน้ำไปยังอณาจักรขอมเพื่อเป็นเครืองราชบรรณาการแด่อณาจักรขอม โดยให้คนเอาน้ำจากทะเลสาปชุบษร โดยในตอนนั้นมีบุรุษผู้มีบุญญาธิการนามว่า "ร่วง" เป็นบุตรของนายคงเครา ผู้เป็นนายกองส่งส่วยน้ำ แด่ขอมได้คิดที่จะทำภาชนะใส่น้ำ ที่ได้คราวละเยอะๆๆ และไม่หนักจนเกินไป จึงได้ทำชะลอมใส่น้ำและอฐิษฐานจิตอย่าให้น้ำในชะลอมรั่วใหล แล้วจึงไปตักน้ำในทะเลสาปชุปษร(อ้างอิง จากหนังสือไตรภูมิพระร่วง) หลังจากนั้นเมื่อพระเจ้าชัยวรมันได้รับน้ำจากทะเลสาปชุบษร ก็ตกใจเมื่อทรงเห็นภาชนะที่สานจากไม้ไผ่เป็นชะลอมจึงร้องถามไปว่า "มันผู้ใดเป็นคนทำชะลอมนี้" นายทะหารจึงร้องตอบไปว่า "มันมีชื่อว่าร่วงพระเจ้าข้า" เมื่อพระเจ้าชัยวรมันทรงทราบดังนั้น จึงคิดในใจว่าตอนนี้ผู้มีบุญได้เกิด ช่างมีปัญญาฉลาดเฉลียวนัก ขืนปล่อยไว้คงจะ เหมื่อนกับ พ่อขุนนัวนำเถา รั้งแต่จะเป็นภัยต่อเราและอณาจักร เราควรรีบกำจัดเสีย เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงทรงสั่งให้ พระยาเดโชรีบกำจัดนายร่วงโดยไว พระยาเดโชเมื่อได้รับคำสั่งจึงเร่งกลับเมืองละโว้ เพื่อปราบนายร่วงให้สิ้นตามคำสั่ง นายร่วงรู้ตัวจึงได้หลบหนีไปบวชยังเมืองสุโขทัย ในขณะเดี่ยวกันฝ่ายของพระยาเดโชทราบว่า นายร่วงได้หนีไปยังเมืองสุโขทัย แต่ไม่รู้ว่านายร่วงได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว พระยาเดโชจึงให้นายให้นายทหารซึ่งเป็นผู้มีคถาอาคมตามไปปราบ โดยทางตำนานเล่าว่าได้ดำดินไปจนไปพบพระร่วงที่หลบหนีไปอยู่ที่เมืองสุโขทัย ณ วัดมหาธาตุ กำลังกวาดลานวัดอยู่ โดยนายทหารผู้นั้นไม่ทราบว่าคือพระร่วง จึงถูกพระร่วงใช้อุบายจนถูกกำจัด ถ้าใครอยากรู้ละเอียดกว่านี้ติดตามได้ใน http://www.sukhothai.go.th/history/hist_09.htm




เพราะจะขอเล่าแต่ตอนสำคัญของสงครามระหว่างไทยกับขอมครับ ในตอนนั้นกรุงสุโขทัยเกิดจลาจล และ ถูกขอมยึดไว้เรียบร้อยแล้วครับตอนนั้นคนปกครองกรุงสุโขทัย เป็นพ่อขุนผาเมืองบุตรคนโตของ พ่อขุนนาวนำถมโดยทรงอภิเษกสมรส กับ ธิดาของอณาจักรขอม




โดยทาง การเมืองเจ้าแห่งขอมต้องการทำให้พ่อขุนผาเมืองยอมสวามิภักดิ์ นี้เป็นเกมทางการเมือง ของอณาจักรขอมที่ใช้สตรี เพื่อขยายฐานอำนาจของตัวเองออกไป ในขณะนั้นพ่อขุนผาเมืองทำอะไรมากไม่ได้ เนืองจากอยู่ในฐานะของราชบุตรเขยแห่งอณาจักรขอม พระองค์เปรียบดั่ง วีรบุรุษที่ถูกคนไทยลืมไปครับ จนพ่อขุนผาเมืองได้พบ และได้ยินกิตติศัพท์ของพระร่วงจึงเรียกเข้าวัง และตอนนั้นเมืองสุโทยเกิดจลาจลขึ้น พ่อขุนผาเมืองจึงเห็นโอกาศที่พระร่วงจะได้แสดงฝีมือ จึงให้ทหารแก่พระร่วงไปปราบจลาจลจนได้รับชัยชนะ เมื่อพระยาเดโชรู้ข่าวว่าผู้ปราบจลาจลคือพระร่วง จึงจะนำกองทัพไปขอตัวพระร่วงจาก พ่อขุนผาเมืองแต่พ่อขุนผาเมืองอ้างว่า นายร่วงได้ทำผลงานปราบจลาจลจึงจะขออภัยโทษจาก พระเจ้าชัยวรมัน แต่พระเจ้าชัยวรมันเห็นว่า ถ้าปล่อยไว้จะเป็นภัย แต่ถ้าหากกำจัดก็จะเป็นที่ครหา ของเมืองขึ้นต่างๆๆได้นี้ก็เป็นแผนของพ่อขุนผาเมือง หลังจากนั้นพ่อขุนผาเมืองจึงให้พระร่วงไปปกครองเมืองราด เป็นพ่อขุนบางกลางหาวโดยให้พ่อขุนบางกลางหาวไป ส่องสุ่ม กำลังที่เมืองราดเพื่อเป็นกำลังในการกอบกู้บ้านเมือง แต่ความลับถูกธิดาของพระเจ้าชัยวรมันจับได้จึงแจ้งข่างแก่บิดา พระเจ้าชัยวรมันจึงสั่งให้พระยาเดโชยกทัพไปปราบพ่อขุนบางกลางหาว









โดยอ้างว่า พ่อขุนบางกลางหาวได้ทำการส่องสุมและฝึกกำลัง โดยไม่ใช่ในช่วงสงคราม พ่อขุนบางกลางหาวจึงส่งสารไปยังพระยาเดโชว่า ที่เราทำการ











ฝึกกำลังเพราะป้องกันการก่อจลาจล แต่พระยาเดโชไม่ฟังจึงยกทัพเข้าตีเมืองราด แต่ได้เพียงล้อมไว้ไม่อาจตีหักได้ ในขณะที่พระยาเดโชรอเสบียง จากเมืองละโว้แต่ ถูกพ่อขุนผาเมืองลอบยึดเมืองละโว้โดยอ้างว่าละโว้ ไร้ผู้ปกครอง จึงเข้าครองไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เกิดจลาจล











พระยาเดโชรู้ตัวหลงกล จึงถอยทัพขึนไปทางเมืองสองแควแต่ถูกกองทัพของพระยากำแหงพระรามน้องชาย ของพ่อขุนผาเมืองเข้าสกัดไว้เมื่อพ่อขุนผาเมืองรู้ดังนั้น จึงยกทัพเข้าตีกระหนาบใส่กองทัพพระยาเดโชจึงต้องถอยกลับ แต่ถูกกองทัพของพ่อขุนบางกลางหาวดักรอซุ่มโจมตีจนกองทัพของ พระยาเดโชที่ขาดเสบียงต้องแตกพ่ายแต่พระยาเดโช หนีไปได้ ตอนนี้เท่ากับว่าพ่อขุนผาเมืองได้ประกาศ อิสรภาพให้กับเมืองสุโขทัยอีกครั้ง แต่พระยากำแหงพระรามต้องการเป็นใหญ่ จึงเข้ายึดซะเอง จึงได้เกิดจลาจลในสุโขทัยอีกครั้ง ขอมเห็นว่าสุโขทัยแตกความสามัคคีจึงยกทัพมาอีกครั้ง พระยากำแหงพระรามเห็นว่าถ้ารับศึก2ด้านจะแย่ จึงสวามิภักดิ์ต่อขอม อีกครั้ง แต่ด้วยความเข้มแข้งของกองทัพพ่อขุนบางกลางหาว จับมือกับกองทัพของพ่อขุนผาเมืองแล้วบุกยึดเอา สุโทยคืนสำเร็จพ่อขุนผาเมืองเห็นว่าควรปราบให้สิ้นซาก จึงยกทัพ เข้าตามตีเอาเมืองต่างๆๆที่เป็นกำลังของขอมจนหมดสิ้น จากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเด็ดขาด แล้วพ่อขุนผาเมืองเห็นว่า พ่อขุนบางกลางหาวมีบุญญาธิการและมีความเมตตาจึงยก อณาจักรสุโขทัยให้ปกครอง และพระราชทานนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมกษัติย์ของ











ราชวงศ์พระร่วง ผู้กอบกู้และรวบรวมชาติไทยได้สำเร็จ และเห็นได้ชัดว่าขอมรุกรานไทย มาตลอด แต่ทุกครั้งก็ก่อเกิดวีรบุรุษ ขึ้นมารวบรวมทุกครั้ง ตั้งแต่พ่อขุนศรีนาวนำถม ราชวงศ์แรกของสุโขทัย และราชวงศ์พระร่วง คอยป้องกันและทวงแผ่นดินคืนทุกครั้งแล้ว เท่านี้ก็คงรู้แล้วว่า แผ่นดินนี้เป็นของไทยแต่ ถูกขอมรุกรานมายึดและสร้างอารยธรรมของตนเองขึ้น ในแผ่นดินไทย เท่านี้ก็คงรู้แล้วว่าแผ่นดินนี้เป็นของใครและพวกคุณ พวกกัมพูชาทั้งหลายยังจะ เอา อะไรอีก แล้วว่าแผ่นดินนี้เป็นของตนอีก หรือ ว่าต้องปลุก "พระเจ้าชัยวรมัน " มายืนยันละ











คุณเขมรทั้งหลาย
















วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตำรวจไทย

ก่อนอื่น ขอสวี ดัด เอ๊ยสวัสดีทุกท่านคับ ผมเป็นมือใม่ที่เพิ่งหัดเขียนblogก็เลยเขียนไม่ค่อยเป็นขอบอกว่าค่อนข้างโง่คับ แต่เห็นเค้าบอกว่าเล่นแล้วได้ตังค์เลยสนใจนะไม่รู้จิงป่าว
เค้าบอกว่า ให้เราเขียนข้อความเยอะๆๆ แล้วจะได้ตังค์ตรงนี้ถ้าใครมีความรู้ ก็แนะนำบ้างนะคับอยากได้ตังค์ ใช้กับเค้าบ้าวงจะได้เลิกจน เครียดกินเหล้า 5555 ตลกเนอะหัวเราะคนเดี่ยวก็ได้ ก็ไม่รู้จะเขียนอะไรลงไปเลยคิดว่า จะเขียนไปเรื่อยๆๆตามเรื่องราวที่ได้เจอในชีวิตประจำวันละกัน ก็ต้องขอประทานโทษ ด้วยถ้าเรื่องที่เขียนเกิดพลาดพิง ถึงใครนะครับเพราะมันเป็นเรื่องจริง ไม่ได้แต่งขึ้นหลอกใคร หรือเขียนเล่นให้สนุกมือหรอกนะครับ แต่มันป็นเรื่องที่สุดจะช้ำใจของกฏหมายไทยครับ
ก็ผมทำงานเป็นพนักงานส่งเอกสาร อยู่บริษทแห่งหนึ่งย่านบางนา วันหนึงต้องไปส่งเอกสารแถว พระราม2 ขับมอร์ไซดิ์ไปแบบเรื่อยๆๆ ชิดซ้ายตามกฏจราจร ทุกอย่างเอกสารรถก็ครบ ใบขับขี่ ก็มีกะว่าถึงคุณตำรวจ เรียก ยังไง ก็ไม่กลัวเพราะเราทำตามกฏจราจร ทุกอย่าง ยังไงก็ไม่โดนจับหรอกมั่น ใจเต็มที่ครับแล้วพอ ขับเข้ามาถึง แถว พระราม2 ก็เจอพวกพี่ตำรวจ กำลังตั้งด่านหากินครับ เอ้ย ไม่ใช่เดี่ยวเข้าก็เข้าใจผิดกันหมดหรอก พี่ๆๆ เค้ากำลังตั้งด่านจับคนที่ทำผิดกฏจราจรอยู่แล้วพวกพี่เค้าก็กวักมือเรียกผมครับ ให้ท่านผู้อ่านลองคิดดู ว่าผมจะโดนข้อหาอะไรครับ
คิดดูละกันขับตามกฏจราจร ทุกอย่างหมวกกันหนอกก็ใส่ใบขับขี่ก็มี เอกสารรถก็ครบยังจะจับผมเรื่องไรได้อีก แต่พี่เข้าเก่งกันครับยังหาเรื่องจับผมได้อีก เฮ้อเซ็งชีวิต
เอ้าทายดูครับว่าพี่เค้า จับผมรื่องไร หมวกกันน็อกครับ ? ? อย่าเพิ่งงง?? หมวกก็ใส่แล้วโดนได้ไง นี้ละครับที่ผมโดน แล้วก็งงกับกฏหมายไทยเซ็งโคตรครับ ก็พี่เค้าบอกว่าห้ามใส่หมวก ที่ฉาบปรอทครับ เอาละซวยละผมคราวนี้ตังค์จะกินวันๆๆ ยังไม่ค่อยจะมีต้องมาเสียค่าปรับซะแล้วเรางงละครับที่นี้ อุตสาขี่รถถูกกฏหมายทุกอย่างยัง โดนเลยเราแล้วจะทำดีไปทำไมเนี้ย
ผมเลยถามพี่เค้าว่า "ทำไมละครับ"
พี่เค้าก็ตอบกลับไปว่า "กฏหมายเพิ่งออกใหม่มานานแล้ว"
"กฏหมายเพิ่งออกใหม่มานานแล้ว" ? ยังไงคับเนี้ยงง ?
ผมตกภาษาไทย หรือ ว่า พี่เค้าเพี้ยน ครับ ผมทั้ง งง ทั้งเซ็ง? สุดๆๆครับกับเรื่อง เฮงซวยพันธ์นี้

ผมเลยถามพี่เค้ากับไปว่า " ทำไมละครับ ? ฉาบปรอท มันผิดตรงใหน"
รู้ไมครับตำรวจไทยตอบว่าไง "ไม่รู้เหมือนกันก็กฏหมายเข้าออกมายังงี้ก็ต้องจับ"
โอ้โหก็ต้องจับครับ เจอคำนี้อึ้งเลยครับ ตำรวจไทยตอบได้เเค่เนี้ยนะ สมแล้วที่กินภาษีประชาชนครับ ตอบได้เยี่ยมมาก คำตอบที่ผมอยากได้มันไม่ใช้แบบนี้ มันน่าจะดีกว่านี้ครับ เพื่อที่ประชาชนจะได้รู้ไว้ แต่พวกเล่นตอบแบบนี้ ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมถึงได้ห้ามใส่ครับ เพราะอะไร ทำไมถึงออกกฏหมายพันธ์นี้ออกมาครับ

สรุปแล้ววันนั้น ผมเลยต้องโดนค่าโง่ เอ้ยค่าปรับครับแบบว่า เซ็งกันไปตังค์กินข้าวยังไม่ค่อยจะมีเลยโดนไป 200 ครับงานนี้ เจอกฏหมายไทยเข้าไป ก็ขอเตือน แมสเซ้นเจอร์ ทกท่านให้ระวังครับว่าพี่เค้าจับจริงกับข้อหานี้ครับ ใส่หมวกแต่โดนจับครับ แถว พระราม2 ครับพวกตำรวจจราจรหมวกสีส้ม ระวังไว้ครับ เข้าจับจริงงานนี้เลยต้องเปลียนหน้ากาก โดยคนออก กฏหมายไมคิดเลย

ว่าเวลาแดดมันส่องตา ถ้าไม่มีปรอทช่วยจะมองไม่เห็น มันอันตรายกว่าอีก ครับ
ออก กฏหมาย ไม่รู้จักคิดนี้แหละ ประเทศไทยคงเจริญนะ
ก็ขอลากันตรงนี้ละคัรบ แล้วผมจะหาเรื่องราวทั่วไปมาลงอีกครับ เป็นความรู้นิดหน่อยของคนไทยครับ
สวัสดีครับ